วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Skincare Basic 9.5

Vitamin E
หาน้อยมากที่จะมีคนไม่รู้จักว่าวิตามินอีคืออะไรมีประโยชน์ยังไง ดังนั้นบทนี้จึงมีความยาวไม่มากนัก แค่เพิ่มเติมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ กับอัพเดทข่าวใหม่เรื่องวิตามินอีกันสักนิดพอหอมปากหอมคอ ส่วนผลิตภัณฑ์แนะนำ กระผมจะขอข้ามไปนะขอรับ เนื่องจากวิตามินอีเป็นวิตามินที่หาได้ทั่วไปตามตำรับเครื่องสำอางที่วางขายอยู่ ขอให้ทุกท่านเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารก่อการระคายเคืองและมีบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมก็พอแล้ว






Vitamin E เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน โดยรูปแบบที่นิยมใช้กันก็คือ d-Alpha-Tocopherol Acetate กับ dl-Alpha Tocopherol Acetate ถ้ามีตัวอีกษร “d” นำหน้าแปลว่าวิตามินอีตัวนั้นได้มาจากธรรมชาติ ถ้ามี “dl” นำหน้าแปลวิตามินอีตัวนั้นว่ามาจากการสังเคราะห์ (ซึ่งไม่ค่อยมาใน Ingredients List เท่าไหร่ แต่มักจะบอกในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร)

ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกวิตามินอีที่ได้จากธรรมชาติจะดีกว่า เนื่องจากมีผลการวิจัยออกมาว่า “วิตามินอีที่มาจากธรรมชาติจะมีประสิทธิภาพมากกว่าวิตามินอีที่ได้จากการสังเคราะห์” น้ำมันจากพืชที่อุดมไปด้วยวิตามินอีก็อย่างเช่น Almond Oil, Olive Oil สาว ๆ คนใดที่ “ไดอด” อดอาหารและหลีกเลี่ยงน้ำมันไขมันเหมือนกับเป็นตัวเสนียดก็เสี่ยงที่จะขาดวิตามินอีได้ ลองรับประทาน Almond หรือ Cashew Nut (เม็ดมะม่วงหิมพานต์) แบบอบและไม่โรยเกลือเป็นของว่าง นอกจากจะช่วยลดความอยากอาหารแล้วยังช่วยเพิ่มวิตามินอีและกรดไขมันจำเป็นที่ดีต่อร่างกายอีกด้วย

ประโยชน์ที่จะได้จากการทาวิตามินอีลงไปบนผิวก็คือ


- เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ลดความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ

- ลดการเกิด Lipid Peroxidation ปกป้องชั้น Lipid ที่เคลือบผิว ผลคือชั้นเคลือบผิวแข็งแรงขึ้น ช่วยลดการสูญเสียน้ำจากเซลล์ได้เป็นอย่างดี

- ลดความเสียหายจากรังสี UVB ซึ่งเป็นการเสริมประสิทธิภาพของครีมกันแดด

- มีคุณสมบัติเป็น Emollients เคลือบผิวให้นุ่มลื่น (แต่ก็สามารถอุดตันผิวได้เหมือนกัน)

- ช่วยเยียวยาผิวที่ไหม้เกรียมแดดจากรังสี UVB

แน่นอนว่าวิตามินอีก็ค่อนข้าง Sensitive ต่อแสงและออกซิเจนเหมือนกับวิตามินตัวอื่น ๆ เราจึงควรเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมเพื่อเก็บรักษาคุณค่าในการเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ของมันเอาไว้

ปัจจุบันมีการใช้วิตามินอีรูปแบบใหม่ก็คือ Tocotrienols ที่พบว่ามีประสิทธิภาพในการเป็นแอนติออกซิแดนท์ได้ดีกว่า Tocopherol แต่การทดสอบนี้ใช้วิธีการ “รับประทาน” จึงไม่สามารถสรุปได้ว่า Tocotrienols จะให้ผลดีเมื่อทาลงไปบนผิวเหมือนกับรับประทานรึเปล่า โดยน้ำมันจากพืชธรรมชาติที่อุดมไปด้วย Tocotrienols ก็คือ Rice Barn Oil (น้ำมันรำข้าว) และ Palm Oil (น้ำมันปาล์ม)


Vitamin E ช่วยรักษาแผลเป็นได้จริงหรือ?




ความเชื่อที่ว่าการทา Vitamin E ลงไปบนผิวจะช่วยเยี่ยวยาลดรอยแผลเป็นได้นั้นมีมาตั้งแต่ปี 1922 (จากเวปไซท์ของ The New York Times) แต่ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ลงใน Dermatologic Surgery เมื่อปี 1999 นั้นบอกเรื่องราวที่ตรงกันข้าม

ผลการศึกษานี้พบว่าการทาวิตามินอีลงไปบนรอยแผลเป็น ไม่ได้ช่วยรักษาหรือลดรอยแผลเป็นได้ แต่อาจจะทำให้อาการย่ำแย่ลงไปอีกเสียด้วยซ้ำ และ 33% ของกลุ่มทดลองก็เกิด Contact Dermatitis เพราะ Vitamin E


(Source : The Effects of Topical Vitamin E on the Cosmetic Appearance of Scars., Dermatologic Surgery, Volume 25, Number 4, April 1999 , pp. 311-315(5), Fading From Sight: New Advances to Minimize Surgical Scars : American Academy of Dermatology)


ข้อสรุปในปัจจุบันนี้คือ Vitamin E เพียงอย่างเดียวไม่สามารถรักษาแผลเป็นได้ขอรับ



คงมีหลายท่านอ่านแล้วคิดในใจว่า "อ้าว ทำไมชั้นใช้ครีมผสมวิตามินอีแล้วรอยแผลเป็นจางลงได้ล่ะ" กระผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะความชุ่มชื้นจากมอยซ์เจอไรเซอร์ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นอ่อนนุ่มลงมากกว่าขอรับ ไม่น่าจะเป็นเพราะวิตามินอีอย่างเดียว

อีกอย่าง รอยแผลชนิดที่ไม่สาหัสมากนัก เวลาผ่านไปมันก็จะจางลงเองนะขอรับ (กระผมเคยซิ่งจักรยานล้มจนเป็นแผลเป็นที่ข้อศอกเมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันมันจางลงจนแทบสังเกตไม่เห็น ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรกับมันเป็นพิเศษ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น